เมนู

อรรถกถาปฐมรูปารามสูตรที่ 3


ในปฐมรูปารามสูตรที่ 3 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า รูปสมุทิตา แปลว่า บันเทิงในรูป. บทว่า ทุกฺขา แปลว่า
ถึงทุกข์. บทว่า สุโข แปลว่า ถึงสุข ด้วยสุข ในพระนิพพาน.
บทว่า เกวลา แปลว่า ทั้งสิ้น. บทว่า ยาวตตฺถีติ วุจฺจติ ความว่า
กล่าวว่า มีอยู่ประมาณเท่าใด.โว อักษร ในคำว่า เอเต โว นี้ เป็น
เพียงนิบาต. บทว่า ปจฺจนิกมิทํ โหติ สพฺพโลเกน ปสฺสตํ ความว่า
ความเห็นของบัณฑิตผู้เห็น ย่อมขัดแย้งผิดกับชาวโลกทั้งมวล. จริงอยู่
ชาวโลก สำคัญขันธ์ 5 ว่า เที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตา เป็นของงาม
บัณฑิต สำคัญว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่งาม. บทว่า
สุขโต อาหุ ได้แก่ กล่าวว่า เป็นสุข. บทว่า สุขโต วิทู ความว่า
บัณฑิตทั้งหลาย รู้ว่าเป็นสุข. คำทั้งหมดนี้ ท่านกล่าวหมายเอาพระนิพพาน
ทั้งนั้น.
ในบทว่า สมฺมูฬฺเหตฺถ นี้ ได้แก่ ผู้หลงพระนิพพาน. บทว่า
อวิทฺทสุ ได้แก่ คนเขลาทั้งหลาย. จริงอยู่ เจ้าลัทธิ 5* ลัทธิทั้งหมด
ความสำคัญว่า "พวกเราจักบรรลุพระนิพุพาน" แต่พวกเขา ย่อมไม่รู้
แม้ว่า "ชื่อว่านิพพานคือสิ่งนี้". บทว่า นิวุตานํ ได้แก่ ถูกเครื่องกางกั้น
คือกิเลส หุ้มห่อ ร้อยรัดไว้. บทว่า อนฺธกาโร อปสฺสตํ ได้แก่ ความ
มืดมนย่อมมีแก่ผู้ไม่เห็น. ถามว่า ข้อนั้น ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น. แก้ว่า
1.พม่า เป็น 96

คนเขลาย่อมไม่ประสบพระนิพพานหรือการเห็นพระนิพพาน. จริงพระ-
นิพพานก็ดี การเห็นพระนิพพานก็ดี ของคนพาลผู้ไม่เห็นอยู่ ย่อมเป็น
เหมือนมณฑลพระจันทร์ที่ถูกเมฆดำปิดไว้, เหมือนภาชนะที่กะทะบังไว้
และเหมือนสิ่งของที่เปิดเผยอยู่แล้วเป็นนิจ. สองบาทคาถาว่า สตญฺจ วิวฏํ
โหติ อาโลโก ปสฺสตามิว
ความว่า วิวฏะ คือนิพพาน ย่อมมีแก่ผู้สงบ
คือสัตบุรุษผู้เห็นอยู่ ด้วยปัญญาทัสสนะ เหมือนแสงสว่างมีอยู่แก่บุคคล
เห็นอยู่. บทว่า สนฺติเก น วิชานนฺติ มคฺคา ธมฺมสฺส อโกวิทา
ความว่า พระนิพพานใดชื่อว่าอยู่ใกล้ เพราะผู้แสวงหากำหนดส่วนในผม
หรือขนเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง ในร่างกายของตน เป็นอารมณ์พึงบรรลุ
ได้โดยลำดับ หรือเพราะแสวงหาความดับขันธ์ทั้งหลายของตน พระ-
นิพพานนั้นนั่นและแม้อยู่ใกล้ ๆ เหล่าชนผู้แสวงหา ผู้ไม่ฉลาดในธรรม
ก็ไม่รู้ซึ่งที่ใช่ทางและมิใช่ทาง หรือสัจจธรรมสี่. บทว่า มารเธยฺยานุ-
ปนฺเนภิ
ได้แก่ ผู้เข้าถึงวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ 3 อันเป็นสถานที่อยู่ของมาร
บทว่า โก นุ อญฺญตฺรมริเยภิ ความว่า เว้นพระอริยะทั้งหลายเสีย
คนอื่นใครเล่า ควรเพื่อจะรู้บท คือ พระนิพพาน. บทว่า สมฺมทญฺญาย
ปรนิพฺพนฺติ
ความว่า รู้โดยชอบด้วยปัญญาอันสัมปยุตด้วยอรหัต ใน
ลำดับนั่นแล เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมดับสนิท ด้วยกิเลสปรินิพพาน การ
ดับกิเลส อีกนัยหนึ่งเป็นผู้ไม่มีอาสวะ เพราะรู้ชอบย่อมปรินิพพาน ด้วย
ขันธปรินิพพาน ดับขันธ์ในที่สุด.
จบ อรรถกถาปฐมรูปารามสูตรที่ 3

4. ทุติยรูปารามสูตร1


ว่าด้วยผู้ยินดีในอายตนะ 6 อยู่เป็นทุกข์


[218] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์เป็นผู้มีรูปเป็นที่
มายินดี เป็นผู้ยินดีแล้วในรูป เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในรูป เพราะรูป
แปรปรวน คลายไปและดับไป เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมอยู่เป็นทุกข์
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้มีเสียงเป็นที่มายินดี. . . เป็นผู้มีกลิ่นเป็น
ที่มายินดี. .. เป็นผู้มีรสเป็นที่มายินดี.. . เป็นผู้มีโผฏฐัพพะเป็นที่มายินดี.. .
เป็นผู้มีธรรมารมณ์เป็นที่มายินดี เป็นผู้ยินดีแล้วในธรรมารมณ์ เป็นผู้
เพลิดเพลินแล้วในธรรมารมณ์ เพราะธรรมารมณ์แปรปรวน คลายไป
และดับไป เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมอยู่เป็นทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ส่วนตถาคตผู้อรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ รู้แจ้งแล้วซึ่งความเกิดขึ้น ความ
ดับไป คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งรูปทั้งหลาย ไม่เป็น
ผู้มีรูปเป็นที่มายินดี ไม่เป็นผู้ยินดีแล้วในรูป ไม่เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในรูป
เพราะรูปแปรปรวน คลายไปและดับไป ตถาคตย่อมอยู่เป็นสุข ตถาคตผู้
อรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ รู้แจ้งแล้วซึ่งความเกิดขึ้น ความดับไป คุณ โทษ
และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งเสียง. . . แห่งกลิ่น. . . แห่งรส . . . แห่ง
โผฏฐัพพะ. . . แห่งธรรมารมณ์ ตามความเป็นจริง ไม่เป็นผู้มีธรรมารมณ์
เป็นที่มายินดี ไม่เป็นผู้ยินดีแล้วในธรรมารมณ์ ไม่เป็นผู้เพลิดเพลินแล้ว
ในธรรมารมณ์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะธรรมารมณ์แปรปรวนไป
คลายไปและดับไป ตถาคตก็ย่อมอยู่เป็นสุข.
จบ ทุติยรูปารามสูตรที่ 4
1. อรรถกถาสูตรที่ 4 -10 แก้ไว้ท้ายวรรคนี้.